


ดูแลอวัยวะเพศชายให้สะอาด และกระตุ้นด้วย ไวอากร้า ก่อนมีเซ็ก

หากกิน ไวอาก้า ยาจะออกฤทธิ์ได้นานแค่ไหน

เซ็ก ไวอาก้า และอารมณ์ทางเพศของผู้หญิง

หากไม่อยากพึ่ง ไวอาก้า คุณผู้ชายจะมีอารมณ์มากสุดตอนไหน

ยาคุมกำเนิดกับผู้หญิงอยู่คู่กันมาอย่างยาวนานเนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน บางท่านก็ใช้ตัวช่วยอย่าง
ไวอากร้า (Viagra) เพื่อให้มีเซ็กส์ได้มันส์ยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความกังวลว่าจะตั้งครรถ์หรือไม่
แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์แบบป้องกันก็มีมากมายหลายวิธีเช่น ใส่ถุงยาง ใช้ยาคุม ฝังเข็ม กินแผง และฉุกเฉินเป็นต้น
วันนี้มาไขข้อสงสัยยาคุมฉุกเกินกันว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่
ก่อนเราจะเข้าเรื่องยาคุมฉุกเฉินเรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าว่ายาคุมฉุกเฉินคืออะไร
ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill) เป็นยารับประทานที่ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้คุมกำเนิด เกิดความผิดพลาดจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น ถุงยางอนามัยฉีกขาด ฝ่ายหญิงลืมรับประทานยาคุมกำเนิด หรือแม้กระทั่งการถูกข่มขืนกระทำชำเรา ผู้หญิงควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
โดยตัวยาจะส่งผลยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ รวมไปถึงสร้างเมือกที่บริเวณปากมดลูกเพื่อป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่ได้
ยาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการตั้งครรภ์หากรับประทานทันทีหลังการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน แต่ไม่ออกฤทธิ์ทำให้เกิดการแท้งในผู้ที่ตั้งครรภ์แล้ว และไม่ก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์
โดยทั่วไป ยาคุมฉุกเฉินควรรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี 2 แบบ คือ ยาคุมฉุกเฉิน 1.5 มิลลิกรัม ที่ต้องรับประทาน 1 เม็ดทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และยาคุมฉุกเฉิน 0.75 มิลลิกรัม ที่ต้องรับประทาน 1 เม็ดทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์
โดยไม่ป้องกัน และรับประทานอีก 1 เม็ดหลังผ่านไป 12 ชั่วโมง
คำตอบคือ “ไม่จริง” หมอขอยกงานวิจัยประกอบเหตุผลที่ว่าดังนี้
งานวิจัยตีพิมพ์ใน Human Reproduction เมื่อปี 2016 ที่ทำการศึกษาในผู้หญิงอายุ 18-45 ปี จาก 4 มหาวิทยาลัยทั้งจากประเทศไทย บราซิล สิงคโปร์ และฮังการี จำนวน 321 คน โดยให้พวกเธอกินยาคุมฉุกเฉินภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง นาน 6 เดือน พบว่าผู้หญิงที่ร่วมงานวิจัยทั้งหมดมีการตั้งครรภ์เฉลี่ยร้อยละ 7.5
สำหรับหญิงอายุต่ำกว่า 35 ปี มีการตั้งครรภ์ร้อยละ 11 ซึ่งสูงกว่าการกินยาคุมเป็นแผง ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 9 และยาฉีด DMPA ที่ร้อยละ 6 ส่วนห่วงอนามัย ต่ำกว่าร้อยละ 1 และยังมีอาการข้างเคียงซึ่งทนได้ ได้แก่ ปวดหัว คลื่นไส้ ปวดท้อง โลหิตจาง
การคุมกำเนิดด้วย ‘ยามาดอนน่า’ หรือยาคุมฉุกเฉินเป็นที่ยอมรับของสาวๆ ที่มาร่วมวิจัยจำนวนมาก (ร้อยละ 90) ซึ่งพวกเธอเลือกใช้การคุมกำเนิดโดยยาคุมฉุกเฉินทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ทั้งยังแนะนำให้คนอื่นเลือกใช้เนื่องจากสะดวก เพราะ
ไม่ต้องกินยาคุมทั้งเดือน โดยเฉพาะคนที่นานๆครั้งจะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้แพลนไว้ก่อน
แต่ทั้งนี้ผู้วิจัยเสนอว่าไม่ควรใช้การคุมกำเนิดฉุกเฉินแทนการคุมกำเนิดเดิม
แม้ว่าจะไม่มีข้อห้ามในการกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน แต่ประสิทธิภาพของยาไม่ดีเท่าการคุมกำเนิดมาตรฐานที่ใช้กันอยู่ และหากพลาดตั้งครรภ์ อาจเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ อีกทั้งยังมีผลข้างเคียง ทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ อาจมามาก
มานาน หรือมากะปริบกะปรอยได้
และงานวิจัยนี้ก็ยังมีจุดอ่อน โดยจำนวนคนเข้าร่วมงานวิจัยยังมีไม่มาก ติดตามผลไม่นาน ดังนั้นจึงควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผงตามมาตรฐานเดิม หากแพ้ชนิดที่มีฮอร์โมนสองตัว หมอแนะนำให้เลือกใช้ยาคุมที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตัวเดียว
ซึ่งต่อเม็ดมีฮอร์โมนน้อยกว่ายาคุมฉุกเฉินจำนวน 10-20 เท่า ทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้น้อยกว่า เสี่ยงต่อการเสียเลือดน้อยกว่า และยังคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย
เราไขข้อสงสัย ที่ติดคาในใจมานานแสนนานแล้ว ว่ายาคุมฉุกเฉินนั้นกินได้ตลอดแต่ไม่ควรนำมาเป็นยาคุมกำเนิดมากจนเกินไป